top of page

กบน.ดำเนินการตามมติครม./น้ำมันแก๊สโซฮอล์91ลด2.50บาทต่อลิตร-แก๊สโซฮอล์95ลดลง1บาท7พย.นี้

พลังงาน ลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภท เริ่ม 7 พ.ย. นี้ ย้ำ ควรเติมน้ำมันตามประเภทที่คู่มือรถกำหนด ป้องกันเครื่องยนต์ขัดข้อง


ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 เรื่อง มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ถึง 31 มกราคม 2567



วันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ปรับลดอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซินลง 0.15 - 1 บาทต่อลิตร ตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันเบนซินที่ผสม ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567 นั้น ที่ประชุม กบน. ได้เห็นชอบให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล E10-91 ลง 2.50 บาทต่อลิตร และยังลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล E10-95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ลงตามอัตราภาษีสรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงตามแนวนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่จะส่งผ่านให้การลดภาษีสรรพสามิต ไปลดราคาขายปลีกให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ลงมากกว่าอัตราภาษีน้ำมันที่สรรพสามิตที่เปลี่ยนแปลงไป

ซึ่งการปรับลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินในครั้งนี้จะให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 – 31 มกราคม 2567 โดยมีรายละเอียดดังนี้

- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร

- น้ำมันเบนซิน ULG 95 และ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร

- น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร

ปัจจุบันแม้ว่าฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงติดลบ แต่สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นหลังจากได้เงินกู้ยืมเข้ามาเติมในระบบ แต่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีความผันผวนด้วยปัจจัยกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และความกังวลในเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอย ตลอดจนความไม่สงบจากการสู้รบ ทำให้สภาพคล่องของกองทุนยังมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชนในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จึงทำการปรับลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินดังกล่าว สำหรับฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2566 ติดลบ 74,292 ล้านบาท แบ่งเป็นติดลบจากบัญชีน้ำมัน 28,938 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG 45,354 ล้านบาท

“การลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภทในครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่ต้องการจะช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานก็ได้มีการช่วยเหลือประชาชน ทั้งการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร รวมทั้งการลดค่าไฟให้เหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ การลดราคาน้ำมันเบนซินจะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ จึงอยากขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ เตรียมน้ำมันแต่ละชนิดให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอให้ประชาชนตรวจสอบการเติมน้ำมันให้เหมาะสมกับรถยนต์ที่ใช้ โดยดูได้จากฝาช่องเติมน้ำมัน คู่มือการใช้รถยนต์ หรือสอบถามที่ศูนย์บริการ เพราะหากเติมผิดประเภทอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้“ นายประเสริฐ กล่าว


(อ่านมติครม.31 ตุลาคม 2566)

เรื่อง มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชน คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนและมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สาระสำคัญ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง มีรายละเอียด ดังนี้

  1. ราคาน้ำมันเบนซิน บริหารราคาน้ำมันเบนซิน โดยกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลัง

ร่วมกันบริหารจัดการราคาขายปลีก โดยใช้กลไกของภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาท ต่อลิตรโดยจะปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลงในอัตรา 1 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะบริหารจัดการเพิ่มเติมในอัตรา 1.50 บาทต่อลิตร

2. เนื่องจากอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ทุกประเภทเป็นอัตราเดียวกันมิได้แยกอัตราภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 เป็นการเฉพาะ ดังนั้น การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตในกรณีนี้ จึงต้องปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 95 ลงในอัตรา 1 บาทต่อลิตรด้วย

3. ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์อื่นๆ ดังนี้

(1) น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 10 ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด มีอัตราภาษีตามปริมาณในอัตราลิตรละ 4.950 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราตามปริมาณลิตรละ 5.850 บาท

(2) น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20 ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด มีอัตราภาษีตามปริมาณในอัตราลิตรละ 4.400 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราตามปริมาณลิตรละ 5.200 บาท

(3) น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด มีอัตราภาษีตามปริมาณในอัตราลิตรละ 0.825 บาท จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราตามปริมาณลิตรละ 0.975 บาท

ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2567


Comments


ดาวน์โหลด (1).png

เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand

bottom of page