วันที่ 14 ก.พ. 67 เวลา 09.00 น. ณ ห้อง Infinity Ballroom โรงแรมพลูแมน คิง พาวเวอร์ กทม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน Thailand Energy Executive Forum และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน” โดยมีหน่วยงานทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนด้านพลังงานและด้านอุตสาหกรรม ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญสรุป ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเรื่องพลังงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและในอนาคตเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเพราะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับทุกเรื่องและทุกภาคส่วนของสังคมและการพัฒนาขับเคลื่อนประเทศ ทั้งการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม การผลิต ภาคธุรกิจ การลงทุน ตลอดจนภาคการเกษตรที่ต้องใช้พลังงานในการดึงน้ำเข้าสู่พื้นที่การเกษตรเพื่อให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและมีคุณภาพ ซึ่งขณะนี้การดำเนินการของรัฐบาลนี้สามารถทำให้ราคาข้าวไปอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 12,000 บาทต่อตันแล้วจากต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 5,000 - 6,000 บาท ซึ่งถือว่าดีและจะพยายามทำให้ดีกว่า โดยเฉพาะการใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตทางการเกษตร ได้มีการพิจารณาที่จะให้ใช้พลังงานจากโซล่าเซลล์ตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อให้ได้ราคาค่าไฟที่ถูกลงเพราะพลังงานถือเป็นต้นทุนที่สำคัญต่อปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตร เรื่องนี้จะทำให้เห็นว่าพลังงานถือว่ามีความสำคัญต่อชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนอย่างมาก และรัฐบาลนี้ให้ความสำคัญ รวมทั้งการให้ความสำคัญด้านพลังงานกับภาคอุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ การพัฒนาสนามบินเพื่อเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ด้านโลจิสติกส์ โครงการ Landbridge ดูแลและพัฒนาศักยภาพแรงงาน ควบคู่กับการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดซึ่งไทยมีศักยภาพอย่างมากเพราะมีเขื่อนจำนวนมากที่มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานได้เพียงพอสำหรับประเทศ สิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกและทำให้ไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยได้ นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเขื่อนที่สามารถทำระบบโซล่าเซลล์แบบทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ให้เป็น Source ของพลังงงาน Clean และ Green Energy ที่สำคัญของประเทศเพื่อเป็นจุดขายให้กับประเทศไทยได้ จึงฝากเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการแล้ว ทั้งนี้เรื่องของพลังงานจะเป็น Key factor ที่สำคัญในการที่จะขับเคลื่อนประเทศเดินต่อไปข้างหน้า ซึ่งเชื่อว่าทุกคนเข้าใจในการที่จะร่วมกันพัฒนาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวว่านอกจากการพัฒนาทั้ง Clean และ Green Energy แล้ว ยังต้องเร่งเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงาน ที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา (OCA) เพื่อนำทรัพยากรออกมาใช้ประโยชน์ให้เร็วที่สุด โดยจะเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป โดยแยกปัญหาระหว่างพื้นที่ทับซ้อนและปัญหาเรื่องแบ่งผลประโยชน์ที่จะดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงราคาพลังงานว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยปัจจุบันบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัท Data center ต่าง ๆ เช่น Google HUAWEI Microsoft ฯลฯ กำลังที่จะมีการมาลงทุนในไทย ซึ่งราคาพลังงานมีความสำคัญกับเรื่องการดึงดูดนักลงทุนอย่างมาก โดยเฉพาะค่าพลังงานสะอาดเป็นเรื่องที่ทุกบริษัทที่นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยด้วยต่างมีประเด็นสอบถาม ว่าจะมีกลไกอะไรที่ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้ เช่น การใช้ PPA การขอใช้ Grid ของการไฟฟ้าในปัจจุบัน เป็นต้น การ Ignore กลไกตลาดจะทำไม่ได้ เพราะพลังงานที่ต้องผลิตขึ้นมาก็ต้องมีผู้จ่าย และอาจจะเป็นเงินของพวกเราทุกคนที่จะวนกลับไปจ่ายให้ผู้ผลิต ทำให้ต้องเก็บเงินกลับคืนอยู่ดี แต่ความเชื่อมั่นที่สูญเสียไป จะประเมินมูลค่าไม่ได้ การที่จะทุบราคาโดยไม่สนใจกลไกตลาด จะกลายเป็นการทำรัฐประหารทางเศรษฐกิจ ซึ่งเราอาจจะได้ค่าไฟถูกอยู่ไม่กี่วัน สุดท้ายประชาชนจะต้องเป็นผู้แบกรับภาระดังกล่าว ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม และนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบด้านลบต่อการลงทุน การส่งออก การจ้างงาน และเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะอยู่ในใจของคนทั้งโลกไปนานนับปี ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนต้องช่วยกัน ทั้งนี้รัฐบาลพร้อมยินดีผลักดันกลไกภาคอุตสาหกรรมไปข้างหน้าควบคู่กับการพัฒนาพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน
top of page
เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand
bottom of page
Comments