top of page

ผลประกอบการบริษัทอสังหาฯมหาชนปี’67 หดตัวตามภาวะเศรษฐกิจแสนสิริ โกยรายได้สูงสุดเฉียด 4 หมื่นล้านบาท ศุภาลัย คว้าแชมป์กำไรเพิ่มกว่า 6 พันล้านบาท




 

ทยอยประกาศผลประกอบการปี 2567 ออกมากันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศผลประกอบการของปี 2567 ออกมากันครบแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้รวมลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 แต่ก็มีอีกหลายบริษัทที่มีรายได้รวมเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ สวนทางกับทิศทางการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2567 ซึ่งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รายงานว่า มูลค่ารวมของยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั้งปี 2567 ลดลงจาก ปี 2566 ประมาณ 6.3% จากปัจจัยลบรอบด้าน ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รวมไปถึงปัญหาของการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างลำบาก เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติวงเงินสินเชื่อ ส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2567 ลดลง ทั้งในส่วนของจำนวนและมูลค่ารวม ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่พยายามหาช่องทางในการสร้างรายได้แบบต่อเนื่องตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา


             ตารางแสดงรายได้รวมและกำไรสุทธิปี 2567ของผู้ประกอบการอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์

อันดับ

บริษัท

รายได้รวม

% เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า

กำไรสุทธิ

% เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า

1

แสนสิริ

           39,205

2.0%

        5,253

-13.3%

2

เอพี (ไทยแลนด์)

           37,460

-2.4%

        5,020

-17.1%

3

ศุภาลัย

           31,985

0.5%

        6,190

3.3%

4

แลนด์แอนด์เฮ้าส์

           28,151

-6.7%

        5,491

-26.6%

5

พฤกษา โฮลดิ้ง

           20,996

-19.7%

        4,561

-79.3%

6

เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น

           20,302

-15.2%

        1,706

-31.3%

7

สิงห์ เอสเตท

           15,362

-3.6%

        1,457

33.4%

8

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

           14,566

-13.3%

        1,438

-22.3%

9

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้

           11,985

-20.9%

        1,052

-61.3%

10

แอสเซทไวส์

            9,941

39.1%

        1,457

33.4%

11

ควอลิตี้เฮ้าส์

            8,695

-5.9%

        2,150

-14%

12

แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์

            8,011

7.6%

           111

-69%

13

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์

            6,685

75.0%

           334

N/A




นายสุรเชษฐ กองชีพ หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ประเทศไทย มองว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มีรายได้รวมในปี 2567 ลดลงคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 15% เมื่อเทียบกับปี 2566 แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายเช่นกันที่มีรายได้เพิ่มขึ้น หรือลดลงจากปีก่อนหน้านี้ไม่มาก หรือลดลงประมาณ 2 – 3% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยยังมีกำลังซื้ออยู่ในตลาดต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการรายใดจะเข้าถึงและสามารถดึงดูดให้ผู้ซื้อจองและโอนกรมสิทธิ์ได้มากกว่ากัน


สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้มากที่สุดในปี 2567 ใน 5 อันดับแรก คือ แสนสิริ มีรายได้รวมทั้งปี 2567 ประมาณ 39,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 2%  ตามมาด้วย เอพี (ไทยแลนด์) มีรายได้รวมประมาณ 37,460 ล้านบาท และ ศุภาลัย มีรายได้ประมาณ 31,985 ล้านบาท ส่วน แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีรายได้รวม 28,151 ล้านบาท และ พฤกษาฯ มีรายได้รวม 20,996 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ใน 5 อันดับแรกนี้ ครองผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยมาต่อเนื่องทั้งรายได้และยอดขาย โดยผู้ประกอบการบางรายอาจเคยครองตำแหน่ง อันดับที่ 1 หรือ อันดับ 2 ต่อเนื่องมายาวนาน แต่ด้วยภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงโฟกัสของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนไปมีผลต่อรายได้รวมเช่นกัน

 

ส่วนของกำไรสุทธิในกลุ่ม 5 อันดับแรก มีเพียง ศุภาลัย เท่านั้นที่มีผลกำไรเป็นบวกเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของปี 2566 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ มีกำไรลดลงไม่มากหรือมีนัยสำคัญอะไรต่อผลประกอบการมากนัก โดยเฉพาะ แสนสิริ และเอพี (ไทยแลนด์) ที่ลดลง 13.3% และ17.1% ตามลำดับ เนื่องจากผลกำไรยังมีมูลค่าเกิน 5 พันล้านบาท ซึ่งกำไรที่ลดลงในปีที่ผ่านมาอาจจะชดเชยกลับมาในปี 2568 นี้ก็เป็นไปได้ แม้ว่าสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังไม่ฟื้นตัว และมีทิศทางที่ต้องจับตามองอยู่ก็ตาม

 

อย่างไรก็ตามในปี 2568 ผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่มากกว่าปี 2567 และยังคงเป็นการขับเคี่ยวกันของ 3 รายหลัก คือ เอพี (ไทยแลนด์) ที่ประกาศแผนการลงทุนมีมูลค่าโครงการวมมากถึง 65,000 ล้านบาท จากจำนวน 42 โครงการ ในขณะที่ แสนสิริ เปิดขายโครงการใหม่จำนวน 29 โครงการ เท่านั้น แต่มีมูลค่าโครงการมากถึง 52,000 ล้านบาท โดยโฟกัสไปที่กลุ่มสินค้าระดับบน-ลักชัวรีมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ และ ศุภาลัย มีโครงการเปิดขายใหม่จำนวน 36 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 46,000 ล้านบาท

 

ด้วยแรงกดันในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีต่อเนื่องในปีนี้ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงเหลือ 2% แล้วก็ตาม แต่มาตรการช่วยเหลือหรือมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯจากรัฐบาลยังไม่มีความเคลื่อนไหว รวมไปถึงการที่ผู้ประกอบการทุกรายพยายามกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ชั่วคราวเพื่อให้กำลังซื้อส่วนหนึ่งกลับเข้ามาในตลาด แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานภาครัฐ หากเป็นแบบนี้เชื่อว่าปี 2568 จะยังเป็นอีกปีที่ตลาดที่อยู่อาศัยต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

  

 


Comentários


ดาวน์โหลด (1).png

เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand

bottom of page