top of page

#อวสานคดีตู้ห่าว ที่สุดศาลฯยกฟ้อง !!!!โดยไม่ได้เหนือจากคำทำนายเมื่อ3ปีก่อนของ#ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์!!!และฉายา"ชูวิทย์ผู้มาก่อนกาล"



ลองมาฟัง 2 บทสรุปจาก2คน ”บิ๊กโจ๊ก-ชูวิทย์ที่เฝ้าติดตามว่าเหตุใด? ศาลจึงยกฟ้อง คดีตู้ห่าว?

ภายหลังวันนี้ (11กพ.68)ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษายกฟ้อง นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว กับอดีตภรรยา และพวก ในคดีจินหลิงผับ และคดีฟอกเงิน


ซึ่งทั้ง 2 ชื่อนี้ เคยวิเคราะห์ล่วงหน้าแล้วว่า ตร.เจ้าของคดีเร่งรีบเกินไป จึงมีแนวโน้มสูงมาก ที่ศาลจะยกฟ้องผู้ต้องหาได้ ซึ่งทำนายไว้ตั้งแต่เมือ 3 ปีก่อนแล้ว และวันนี้ก็เป็นจริง เกิดอะไรขึ้น????






“บิ๊กโจ๊ก”

 พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. (11กพ.2568)

".......คดีนี้ต้องไปถามทาง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสวบสวน ว่า รู้สึกอย่างไร หลังศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากคดีนี้ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ได้สั่งการ และแต่งตั้ง พล.ต.ท.ธิติ เป็นหัวหน้าชุดแทนตน

......และตนซึ่งเคยทำคดีมาก่อนในช่วงแรก ได้เตือนพนักงานสอบสวนนครบาลไปแล้วว่า พยานหลักฐานที่มีอยู่ในสำนวนไม่เพียงพอที่จะเอาผิดตู้ห่าวได้ หากมีพยานหลักฐานเพียงแค่นี้ศาลจะยกฟ้องแน่ แต่ไม่มีใครเชื่อตน เมื่อศาลพิพากษาออกมา ก็เป็นไปตามที่ตนพูดไว้

.......ยืนยันว่า ไม่ได้ต่อว่า พล.ต.ท.ธิติ ไม่ดี แต่ในขณะนั้น พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ สั่งไม่ให้ตนเองเข้าไปยุ่งกับคดีนี้ และให้ พล.ต.ท.ธิติ เป็นผู้ทำคดีไป พร้อมยกตัวอย่างคดีของ น.ส.สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม ไซยาไนด์ และคดีของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ที่ตนเป็นรับผิดชอบ ซึ่งศาลได้พิพากษาลงโทษทั้งหมด




ขณะ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" จอมแฉคนดัง นักสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงระบบยุติธรรมไทย วันนี้ ชูวิทย์สรุปไว้ 8 ข้อ


1. การวางแผนจับกุมที่ผิดพลาดตั้งแต่แรก ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอจนปล่อยผู้ต้องหาไปโดยไม่รู้ตัว ไม่มีการสอดแนม เก็บข้อมูลจำนวนคน จำนวนพนักงาน จนมีการปล่อยผู้ต้องหาไปจำนวนมาก ซ้ำยังปล่อยนักท่องเที่ยวจีนที่ฉี่ไม่ม่วงออกไปตามหากุญแจรถแล้วขับรถหนีไป

เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ จีนเทาขนของหนี แถมมีเวลาซ่อนยา และที่สำคัญ จับตัวการสำคัญไม่ได้ ปล่อยหนีหายไป (นายหวัง เจิ้น หนาน

หลายชายตู้ห่า ว) ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ


2. เก็บหลักฐานแบบขยัก เว้นวรรค ไม่ครบถ้วน ที่เกิดเหตุมี 3 อาคาร คือ อาคารจินหลิง อาคารลีลา อาคารวิบวับคาร์วอช วันแรก 26 ต.ค. 2565 ค้นแค่อาคารจินหลิง พบยาเสพติด 4 กิโลกรัม เว้นวรรคไปอีก 5 วัน เพิ่งไปค้นอาคารวิบวับ ในวันที่ 1 พ.ย. 2565 พบยาเสพติดเกือบ 1 กิโลกรัม แต่ไปบันทึกเลขคดีในวันที่ 2 พ.ย. 2565 บอกว่าไม่พบผู้กระทำความผิด ทั้งที่ความเป็นจริงพบ นายเหมา หยาง ในกล้องวงจรปิด และความจริงอาจมียาเสพติดมากกว่านั้นเพราะเป็นโกดังขนาดใหญ่ แต่ขนหนีออกไปได้

วันที่ 27 พ.ย. 2565 รองผบ.ตร. อัยการ ปปส. ไปตรวจที่เกิดเหตุเพิ่มเติมยังพบของกลาง ถาดไม้ หลอดดูด ที่ปั่นจมูก ชิป อุปกรณ์เล่นการพนัน และพบรถของกลางอีก 11 คัน ยังไม่ได้ตรวจค้น แถมยังตรวจค้นรถตู้ของหลานชายตู้ห่าว ทะเบียน 8 กภ 1234 กรุงเทพมหานคร ในที่เกิดเหตุ พบอุปกรณ์เสพยาในรถ

3. การปล่อยรถของกลาง และผู้ต้องหารายสำคัญ ปล่อยหลานชายตู้ห่าว หวัง เจิ้น หนาน ทั้งที่อยู่ในที่เกิดเหตุ เพราะรถอัลพาร์ดยังอยู่ อีกทั้งยังปล่อยผู้ต้องหากลางทาง นายหวัง เทียนฮุย ไปด้วย และมีการปล่อยรถของ เดวิด ฮอลล์ เบนซ์ S Class สีดำ รวมแล้วปล่อยรถของกลางไป 4 คัน

4. ผู้ทำสำนวนเป็นหัวหน้าของตำรวจที่ปล่อยรถคืนให้กับผู้ต้องหา

5. การตัดต่อกล้องวงจรปิด เซิร์ฟเวอร์มี 4 ตัว จินหลิง+วิบวับ 2 ตัว 40 กล้อง และลีลา 2 ตัว 68 กล้อง แต่ส่งกล้องให้พิสูจน์หลักฐานแค่ 1 เซิร์ฟเวอร์ โดยส่งให้พิสูจน์แค่วันที่ 21-26 ต.ค. 2565 ทั้งนี้เพื่อปิดบังบ่อนในอาคารลีลา และปิดบังไม่ให้เห็นตู้ห่าวกับหลาน

6. ออกหมายจับตู้ห่าวล่าช้า บุกจับจินหลิงวันที่ 26 ต.ค. 2565 ออกหมายจับ 22 พ.ย. 2565

7. แจ้งข้อหาฟอกเงินตู้ห่าวล่าช้า ตู้ห่าวโดนข้อหายาเสพติดร้ายแรง และข้อหายาเสพติดเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน แต่ไม่ยอมตั้งข้อหาตั้งแต่แรก เหมือนจงใจให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จนเจอเงินในบัญชีตู้ห่าวแค่ 1 แสน จนกระทั่ง 24 ธ.ค. 2565 แจ้งข้อหาฟอกเงินกับคนสนิทตู้ห่าว แต่ยังไม่แจ้งฟอกเงินกับตู้ห่าว (มาแจ้งในภายหลัง)

8. ท้ายสุดเจ้าของสำนวนทำผิดพลาดจน ผบ.ตร. และอัยการสูงสุด ต้องมาทำคดีเอง แต่หลักฐานต่างๆ ได้ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมากแล้ว



#ถือเป็นอุทาหรณ์ในกระบวนการยุติธรรม ที่ "ชูวิทย์" จอมแฉชื่อกล้อง ได้กระเทาะให้เห็นตั้งแต่เปลือก ไปยันแก่นว่า ผิดพลาดอะไร?


และเพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ ลองกลับไปย้อนอ่านบทความเก่าๆ ที่ชูวิทย์ เคยแสดงความเห็นผ่านเพจส่วนตัวด้วยความเป็นห่วงหลายครั้ง หลายวาระ เพื่อแนะนำและป้องกันเหตุ!

-คดีนี้มีจุดอ่อนอย่างไร?

-อะไรคือสิ่งที่หน.พนักงานสอบสวนเวลานั้นควรทำ เพื่อไม่ซ้ำรอยคดีอื่นๆ




(วันที่ 5 มกราคม 2023 ) ·

#นั่งเทียน เขียนสำนวน ในห้องแอร์” โดย ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์

"#กระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่มานั่งพูดอวยกันเอง แบบที่ท่าน ผบ.ตร. กับ ท่านอธิบดีสำนักการสอบสวน แถลงข่าวว่า

.“ตำรวจทำสำนวนสมบูรณ์แล้ว อัยการแค่จับเชื่อมโยง”

.หากเป็นอย่างนั้นจริง

.ทำไมคดีตู้ห่าวที่ภูเก็ต อัยการสั่งยกฟ้องภายในวันเดียว?

.เสียงตู้ห่าวทุบโต๊ะบอก “มีเงินทำได้ทุกอย่าง” ยังสะเทือนหูคนทั่วประเทศ

.แล้วทำไมคดี บอสกระทิงแดง ถึงทำเอาสังคมไม่ไว้วางใจอัยการจนถึงบัดนี้?

.หรือคดี หลงจู๊สมชาย ที่ ผบช.น. อดีตอยู่ภาค 2 เป็นพื้นที่รับผิดชอบเดิมของตัวเอง

.แต่หลงจู๊ผิวปากเดินขึ้นรถเบนซ์กลับบ้าน เพราะศาลยกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานอ๊อนอ่อน

.คดี “ตู้ห่าว” มีจุดรั่ว ในสำนวนของ บชน. อยู่มากมาย จนเจียระไนไม่หมด

.เอาเป็นว่า ผบ.ตร. และ ท่านอธิบดีอัยการ ทั้งสองท่านเคยไปดูที่เกิดเหตุ “จินหลิง” หรือยังไม่ทราบ?

.จะเอาแต่นั่งประชุมในห้องแอร์ แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกลับบ้านกันแค่นั้นหรือ?

.จากนั้นจูงมือกันมาแถลงอวยว่า “สำนวนจากตำรวจสมบูรณ์แล้ว”

.ผมว่าท่านอธิบดีอัยการจะเสียคนตอนแก่เอาเปล่าๆ

.ปกติการทำงานของอัยการ ไม่ควรไปรับรองตำรวจแบบนั้นครับ

.ท่านคือผู้พิจารณาสำนวน และส่งให้ท่านอัยการสูงสุดพิจารณา

.โดยท่านเป็น “มือทำงาน” ของคณะ ไม่ใช่ “มืออวย” ของคณะ

.ท่านทั้งสองอาจเทียนหมดตอนดูสำนวน แสงมืดไปหน่อย ผมเลยเอาเทียนมาฝากให้ท่าน เผื่อมองเห็นสำนวนไม่ชัด

.เพราะยังมีเรื่องแปลกๆ ที่ ผบช.น. ทำเอาไว้อีกมาก อย่าเพิ่งประทับตรา “รับรองถูกต้อง” เลยครับ

.ตอนขึ้นศาล หากท่านยกฟ้อง ตู้ห่าวขึ้นรถโรลส์รอยซ์กลับบ้านเหมือนหลงจู๊สมชาย มันจะจุกอกเอา

.สังคมเขารู้เองครับว่าตอนจบผลเป็นอย่างไร ไปคุก หรือกลับบ้าน

.หากคิดจะเอาแค่ทำให้เสร็จๆ ไป “ส่งฟ้องได้” ก็แน่นอนครับ เพราะตำรวจจูบปากอัยการเสียงดังจ๊วบ

.แต่ศาลท่านจะยกฟ้องหรือไม่? ยังกังขา ตำรวจเขาเก่งไม่เบา เรื่องเล่น “มายากล” ในสำนวน

.ถึงเดือนกันยายนนี้ ผบ.ตร. ก็เกษียณลากลับบ้านถาวร แต่ยังเหลือท่านอธิบดีทำงานอยู่

เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้หน่อยครับ

.ท่านอัยการที่เคารพ(จบ)




(ยังมีบทความ ที่เขียนถึง หน.พนง.สอบสวนโดยตรง คือ บิ๊กจ้าว หรือพล.ต.ท.ธิติ เวลานั้น ลองอ่าน)

(24 ธันวาคม 2022 )

"ผบช.น. พูดดี เท่ห์ แต่ไร้ราคา" โดย ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์

"ตอนที่คดี “หลงจู๊สมชาย” โด่งดัง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการภาค 2 ก่อนมาเป็น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

.ย่อมเป็นผู้รับผิดชอบต่อคดี หลงจู๊สมชาย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ณ ขณะที่เกิดเหตุ จับกุม จนสั่งฟ้อง

.การดำเนินคดีตีข่าวใหญ่โต แต่ท้ายสุดศาลตัดสิน “ยกฟ้อง” บอกว่าพยานหลักฐานอ่อน ปล่อยหลงจู๊สมชายนั่งรถเบนซ์กลับบ้าน

.เห็นหลงจู๊สมชายยกฟ้อง แล้วหวนคิดถึง “คดีตู้ห่าว”

.คราวนี้ท่านย้ายจาก ผู้บัญชาการภาค 2 ที่เคยรับผิดชอบคดี “หลงจู๊” มาเป็น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ตอนมีคดี “ตู้ห่าว” พอดิบพอดีเหมือนโกหก

.เรื่องคดีทำนองนี้ ตามหลอกหลอนจากภาค 2 มาถึงนครบาลอีก

.แต่แทนที่จะทำสำนวนให้ดี มีประสบการณ์จากภาค 2 มาแล้ว ดันกลับทำสำนวนหลุดลอดรั่วไหลออกมาถึงมือผม แล้วยังจีบปากจีบคอให้สัมภาษณ์ว่า

.“หากมีการตรวจพบความผิด หรือพบหลักฐานก็จะไม่มีการละเว้น แต่ตำรวจจะไม่ทำอะไรที่นอกเหนือขอบเขตของกฎหมาย

.เพราะหากมีอะไรผิดพลาดก็จะมีผลกระทบต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เช่น การถูกฟ้องร้องกลับ และเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก

.ซึ่งหากพนักงานสอบสวนทำงานผิดพลาด และต้องนำเงินไปชดใช้ เป็นสิ่งที่ไม่ควร เนื่องจากเป็นเงินภาษีของประชาชน”

.โถ! อยากให้ท่าน ผบช.น. ทบทวนความจำ เผื่อสมองจะหายเลอะเลือนว่า

.เรื่องคดี “จินหลิง” ของตู้ห่าว มีทั้งปล่อยตัวผู้ต้องหารายสำคัญ ปล่อยรถยนต์ของกลาง นำ รปภ. มาขังคุกแล้วปล่อย

.รวมทั้งปล่อยคนจีนที่อยู่ในที่เกิดเหตุไปเป็นร้อยคน แทนที่จะจับไว้ตรวจสอบ เพราะพบยาเสพติดมากมาย

.ท่านยังพูดเท่ห์ๆ แบบนี้ โดยคิดว่าคนไม่รู้ทันอีกหรือ?

.ที่บุกไปจับก็เป็นทีมท่านล้วนๆ หามีตำรวจคนอื่นไปร่วมแจมด้วยแต่อย่างใด

.นี่ยังไม่พูดถึง “เส้นทางการเงิน” ที่โยงชัดเจนไปถึงตู้ห่าว แต่ไม่ยอมแจ้งข้อหา “สมคบฟอกเงิน” ตั้งแต่ต้น

.ให้เวลาเนิ่นนานจนมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินกันจ้าละหวั่น

.แล้วอย่างนี้ ประชาชนจะไปพึ่งตำรวจได้หรือ?

.เมื่อ ผบช.น. เป็น “ตำรวจกลัวโจรฟ้องกลับ” เสียเอง

พวกโจรคงได้หัวร่องอหาย

.ยิ่งพูด ยิ่งเข้าตัว ไปรวบรวมสำนวนรายงานอัยการให้ครบเถอะครับ

.แล้วหากขี้กลัวแบบนี้ อย่าไปเป็นเลย ผบช.น.

.ย้ายไปนั่งเฝ้าป้อมยามที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเสียดีกว่า

.มันดูเท่ห์กว่านะครับ ท่าน ผบช.น.




ทั้งหมดทั้งมวลข้างต้น คือ #ตัวอย่างมุมมอง และข้อแนะนำจาก "ชูวิทย์"

และวันนี้ ที่มีผลคดีออกมา ช่างออกมาตรงกับวันวานที่เขาเฝ้าเสนอแนะ และปริวิตกกังวล ต่อสำนวนคดีว่า จะอ่อน และทำให้จำเลยหลุดคดีในที่สุด


ฤานี้ ที่เขาเรียกว่า ชูวิทย์ ผู้มาก่อนกาล!!!!

เหตุที่มาก่อนกาล เหตุที่ต้องเกาะติดยิ่งกว่าการทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้าน ก็เพราะกลุ่มบุคคลเหล่านี้เคยมีคดีเผาสวนงู ที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งยื้อกันระหว่างตำรวจกับอัยการ สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้องคนทำผิดเลยลอยนวล คนถูกทำร้ายร่างกายแทบเอาชีวิตไม่รอดก็เจ็บตัวเปล่า

(อ่านคดี เผาสวนงู ที่จ.ภูเก็ตhttps://isranews.org/article/isranews-article/115819-isranews-121.html)คนทำผิดเลยลอยนวล!!!

(ภาพนายชูวิทย์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่ฟุทบาธหน้าศูนย์ประชุมสิริกิตย์ เพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรีในเวลานั้นคือลุงตู่ หวังให้ช่วยสั่งการตำรวจแบบตรงไปตรงมา)



(อ่านรายละเอียด

คำสั่งยกฟ้องของศาล ในคดีตู้ห่าว 11 กพ.2568)

#ศาลอาญากรุงเทพใต้ ยกฟ้อง ‘ตู้ห่าว-ตำรวจหญิงอดีตภรรยา‘ และพวกรวม 19 คน คดีอาชญากรข้ามชาติ-ฟอกเงิน ศาลชี้หลักฐานโจทก์ขาดน้ำหนัก ส่วน 6 คนโดนโทษจำคุก 21-28 ปี คดียาเสพติด-อาวุธปืน

วันที่ 11 ก.พ.68 ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดี 3 สำนวนที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายฮวง ไฮ่ เท่า (HUANG HAITAO) เป็นจำเลยที่ 1 , นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว เป็นจำเลยที่ 2 กับพวกสัญชาติจีน ไทย กัมพูชา และบริษัทนิติบุคคล 5 แห่ง รวมจำเลยทั้งสิ้น 25 คน จาก 3 สำนวนคดี ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดประมวลกฎหมายยาเสพติด , พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 , พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 , พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 , พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 , พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 , ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 209 ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้

โดยวันนี้ โจทก์ จำเลยทุกคน และทนายความ เดินทางมาศาล ซึ่งศาลจัดล่ามภาษาจีนไว้รองรับ

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า ตำรวจเข้าทำการตรวจค้นผับจินหลิง ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ ในช่วงปี 2565 พบชาวต่างชาติลักลอบเข้าเมืองกว่า 100 คน ยาเสพติด อาวุธปืน และของกลางต่าง ๆ ตามบัญชีของกลาง ซึ่งคดีนี้ จากการสืบสวนสอบสวน โจทก์อ้างว่า พบความเชื่อมโยงในบัญชีการเงินของผับจินหลิง ซึ่งมีนายตู้ห่าว จำเลยที่ 2 และ จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของ กับสถานบริการในเมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา คาดว่าเป็นการทำธุรกรรมโอนเงินซื้อขายยาเสพติด อีกทั้งยังมีพฤติการณ์เชื่อมโยงกับจำเลยทั้งหมด โดย จำเลยที่ 1, 4 และ 5 ให้การรับสารภาพ แต่จำเลยที่เหลือให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์แล้ว ไม่พบพยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงของโจทก์ที่ชี้ชัดได้ว่า จำเลยมารวมตัวกันและกระทำการเข้าข่ายเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นอั้งยี่ เนื่องจากพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อย ไม่หนักแน่นเพียงพอ จำเลยทั้งหมดจึงไม่มีความผิดตามฟ้องในข้อหาดังกล่าว

สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ซึ่งมีความผิดมูลฐานจากคดียาเสพติด โดยพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักมั่นคงมากพอที่จะทำให้รับฟังได้ เนื่องจากการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินในบัญชีธนาคาร ไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่า เงินที่เข้ามาในบัญชีของจำเลยที่เกี่ยวข้อง เป็นเงินที่ได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดหรือการจำหน่ายอาหารเครื่องดื่มในสถานบริการได้ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัย การกระทำของจำเลยทั้ง 25 ไม่มีความผิดฐานฟอกเงิน

ส่วนคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและ พ.ร.บ.อาวุธปืน ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำเลยที่ 1 กับ จำเลยที่ 4 มีความผิด รวม 5 กระทง ลงโทษทุกกรรม จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 27 ปี 6 เดือน ปรับ 1,690,000 บาท

ส่วนจำเลย 5 มีความผิด 8 กระทง โดย 5 กระทงแรก เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ส่วนกระทงที่ 6-8 เป็นความผิดเกี่ยวกับการจัดตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 28 ปี 12 เดือน ปรับ 2,600,000 บาท

ส่วนจำเลยที่ 7, 11 และ 12 มีความผิดฐานสนับสนุนและช่วยเหลือเกี่ยวกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติด 4 กระทง เบื้องต้นทั้งสามคนให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก คนละ 21 ปี 24 เดือน ปรับ 1,766,666.66 บาท

ส่วนที่เหลือ 19 คน พิพาก

Comments


ดาวน์โหลด (1).png

เพื่อให้ทุกท่านสามารถติดตามประเด็นวิเคราะห์เจาะลึกผ่านทาง CLOSE-UP THAILAND เชิญเพิ่มเพื่อนทางไลน์ @closeupthailand

bottom of page