“ภูมิธรรม เวชยชัย ด้านยุทธศาสตร์การเมือง- ชูศักดิ์ ศิรินิล ด้านกฎหมาย –กิตติ ลิ่มสกุล ด้านเศรษฐกิจ –เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ด้านบริหาร”
การเมือง
ผลการเลือกตั้ง คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค แทนตำแหน่งที่ว่าง ในการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย จัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี ครั้งที่ 1/2565 มีสมาชิกที่ร่วมเป็นองค์ประชุม 519 คน เป็นกรรมการบริหารพรรค 13 คน ตัวแทนพรรคการเมือง 3 สาขา และตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 164 คน ส.ส.พรรค 103 คน สมาชิกพรรค 236 คน ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับ ครบองค์ประชุม 519 คน ผลการประชุมมีดังนี้
1.ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างข้อบังคับพรรคเพื่อไทย ปี พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 ปี 2565 เว้นแต่ที่เป็นไปตามบทเฉพาะกาล
.2.ที่ประชุมมีมติลงคะแนนเลือกกรรมการบริหารพรรคทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง 10 คน ผลการลงคะแนนเป็นที่เรียบร้อย มีผู้ลงคะแนนเกินกึ่งหนึ่ง มีสมาชิกถูกเสนอชื่อ 10 คน
.3.การเลือกตั้งกรรมการสรรหาทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง 11 ตำแหน่ง เป็นกรรมการบริหารพรรค 5 ตำแหน่ง กรรมการสาขาพรรค 2 ตำแหน่ง ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด 4 ตำแหน่ง
.นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2565 ที่พรรคเพื่อไทย สำนักงานใหญ่ มี 3 เรื่อง ได้แก่
1. การแก้ไขร่างข้อบังคับพรรคเพื่อไทย ปี พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 ปี 2565 ได้มีการแก้ไขหลายเรื่อ ง เช่น การแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวแทนพรรคประจำจังหวัด ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงพรรค ที่เรียกเก็บจากสมาชิกพรรคทั้งแบบปีและตลอดชีพ และการแก้ไขคณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ให้มีไม่น้อยกว่า 25 คน รวม 18 เรื่อง ซึ่งจะมีผลหลังจากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีผลบังคับใช้แล้ว
.2.ผลการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคแทนตำแหน่งที่ว่างลง 10 คน ได้แก่
.1. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค
2. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค
3. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค
4. รศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล รองหัวหน้าพรรค
5. นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค
6. ทันตแพทย์หญิง ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ รองเลขาธิการพรรค
7. นายชุมสาย ศรียาภัย รองเลขาธิการพรรค
8. นายสุรเกียรติ เทียนทอง กรรมการบริหารอื่น
9. นายพลนชชา จักรเพ็ชร กรรมการบริหารอื่น
10. นายยุ้ง จักรไพศาล กรรมการบริหารอื่น
จากรายชื่อ กรรมการบริหารใหม่ของพรรคเพื่อไทย ทั้ง 10 ราย โดยเฉพาะ 4 อันดับแรกนั้น เป็นการปรับใหญ่ และเสริมทัพตัวจริง เพื่อเพิ่มจุดแข็งแต่ละด้าน เมื่อพรรคคู่แข่งในสนามการเลือกตั้งทยอยเปิดมือดี เรียกคะแนนนิยม และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน สำหรับทั้ง 4 มือเก๋า มีจุดเด่นและเชื่อว่าจะเติมจุดแข็งให้เพื่อไทยอย่างดี
@นายภูมิธรรม ในแวดวงการเมืองรับทราบอย่างดีว่านี้คือสายตรงดูใบ อดีตนายกรัฐมนตรีตัวจริงเสียงจริง ชนิดมองตารู้ใจ ไม่อยู่เมืองไทย แต่สามารถเห็นทุกตารางนิ้วของประเทศ คือ เขาคนนี้ คู่กับนพ.พรหมมินท์ เลิศสุริยะเดช มือทำงานที่คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร วางใจและเชื่อมั่นฝีมือเป็นที่สุด ภูมิธรรมจะมีบทบาทสำคัญในการจัดทัพคัดคนแต่ละพื้นที่เพื่อแข่งขันในสนามเลือกตั้ง ดูด้านยุทธศาสตร์การเมือง เป็นหลัก และการขับเคลื่อนในภาพรวมของพรรค
@ดร.กิตติ ในแวดวงเศรษฐกิจยอมรับในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ชั้นครู ที่บรรยายในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งไทย และต่างประเทศ รวมทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยที่ประเทศญี่ปุ่น ได้รับความน่าเชื่อถือในฐานะ "นักเศรษฐมิติระดับโลก" เป็นหนึ่งในผู้ร่วมจุดประกาย OTOP ในเมืองไทยในยุคนายกที่ชื่อ "ดร.ทักษิณ ชินวัตร" พรรคเพื่อไทยหวังเสริมจุดแข็งด้านเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยขาดมือเศรษฐกิจตัวจริง จึงมุ่งเพียงแค่ประเด็นตอบโต้ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในระดับการวางยุทธศาสตร์และการนำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจของพรรค เพื่อสร้างข้อได้เปรียบ และใช้ฟื้นฟูประเทศรอบใหม่ ต้องมีมือดี ในระดับสนทนาภาษาเดียว กับแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีของพรรคที่ชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน”
@ชูศักดิ์ ศิรินิล ในแวดวงกฎหมายยอมรับชื่อนี้อย่างดี เพราะมีดีกรีระดับอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นอาจารย์ด้านกฎหมาย ที่อธิบายความด้วยความสุขุมละมุนละม่อมและรอบคอบ ไม่โผงผาง แต่ขาดรายละเอียด จึงได้รับความน่าเชื่อถือในระดับผู้ใหญ่ทั้งในแวดวงวิชาการ และราชการ ซึ่งมีลุกศิษย์ลูกหาให้ความเคารพ ในการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งที่จะมาถึง ประเด็นกฎหมายจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือใช้เป็นอาวุธทางการเมืองมากขึ้น เชื่อว่า ชื่อชั้น และความรู้ความสามารถของชื่อ “ชูศักดิ์ ศิรินิล”เพื่อไทยจึงไม่ได้มองเพียงเกม แต่มองเกินเกม
@เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ในแวดวงนักปกครองชื่อนี้ยังได้รับความน่าเชื่อถือและคุ้นเคยของน้องๆ ที่เป็นผู้ว่า รองผู้ว่าในหลายจังหวัด เพราะการวางตัวที่เข้าถึงง่าย เป็นกันเองกับทุกคน ดังนั้น ทั้งดีกรีอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยมาหลายปี และอดีตรัฐมนตรีเชื่อว่า ชื่อ “เสริมศักดิ์ พงษ์พาณิช”ไม่ได้เป็นชื่อใหม่ และไม่เป็นที่ รู้จัก แต่หากเป็นชื่อที่ผู้ว่าหลายจังหวัดและอธิบดีหลายกรม เรียกพี่ ได้อย่างสนิทใจ ดังนั้น บทบาทจึงมุ่งไปด้านบริหารความสัมพันธ์แต่ละพื้นที่ เพื่อลดอุปสรรคในการแข่งขันสนามเลือกตั้ง เขาจึงเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสส.
(ตรวจรายชื่อคณะกรรมการชุดต่างๆ)
@.คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย 23 คน ประกอบด้วย
1. นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค
2. นายสุทิน คลังแสง รองหัวหน้าพรรค
3. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรค
4. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รองหัวหน้าพรรค
5. นายสรวงศ์ เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค
6. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค
7. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค
8. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค
9. รศ.ดร.กิตติ ลิ่มสกุล รองหัวหน้าพรรค
10. นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค
11. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค
12. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค
13. นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรค
14. ทันตแพทย์หญิง ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ รองเลขาธิการพรรค
15. นายชุมสาย ศรียาภัย รองเลขาธิการพรรค
16. นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์ เหรัญญิกพรรค
17. นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนสมาชิกพรรค
18. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ โฆษกพรรค
19. นางสาวณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรค
20. นางสาวจิราพร สินธุไพร กรรมการบริหารพรรค
21. นายสุรเกียรติ เทียนทอง กรรมการบริหารพรรค
22. นายพลนชชา จักรเพ็ชร กรรมการบริหารพรรค
23. นายยุ้ง จักรไพศาล กรรมการบริหารพรรค
.
@คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค 15 คน ประกอบด้วย
.1. นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค
2. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รองหัวหน้าพรรค
3. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค
4. นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ รองหัวหน้าพรรค
5. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค
6. ทันตแพทย์หญิง ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ รองเลขาธิการพรรค
7. นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนสมาชิกพรรค
8. นายสมัคร บุญปก หัวหน้าสาขาพรรค ลำดับที่ 1 จังหวัดอุดรธานี
9. นายสุเทพ สายทอง หัวหน้าสาขาพรรค ลำดับที่ 2 จังหวัดเชียงใหม่
10. นายวิทวัส ดุลพินิจพัฒนา หัวหน้าสาขาพรรค ลำดับที่ 3 จังหวัดภูเก็ต
11. นายพันศักดิ์ จันทร์ใบเล็ก หัวหน้าสาขาพรรค ลำดับที่ 4 จังหวัดภูเก็ต
12. นายสุเทพ บุตรเจริญ ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดหนองคาย เขตเลือกตั้งที่ 2
13. นายไฉน รุ่งเรืองชัยศรี ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดสระแก้ว เขตเลือกตั้งที่ 1
14. นายมานะ คงวุฒิปัญญา ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 29
15. นางสาวอารยา สำเร็จวาณิชย์ ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 18
ติดตามวิสัยทัศน์
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
“การต่อสู้ครั้งนี้ต้องชนะ เลือกพรรคเพื่อไทยให้ชนะขาด ให้แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน เพื่อให้เพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาลของประชาชน”
.
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ ‘2565 พรรคเพื่อไทย’ ในงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน : Think Big, Act Smart, For All Thais’ งานประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2565 พรรคเพื่อไทยว่าจากนี้ไปไม่เกิน 5 เดือน จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายชนะเลือกตั้งถล่มทลายแบบแลนด์สไลด์ เพราะในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคเพื่อไทยชนะได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสูงสุดที่ 136 เสียง แต่เราจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะกลไกในรัฐธรรมนูญ ให้วุฒิสมาชิก 250 คนเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะนี่คือกติกาที่บิดเบี้ยว อำนาจรัฐ อำนาจเงิน พรรคเพื่อไทยที่ชนะแต่เหมือนแพ้ เราจึงต้องชนะแลนด์สไลด์ได้สมาชิกสภาเกิน 250 คน เพื่อเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน
.
การแลนด์สไลด์เป็นเป้าหมาย หนทางการเข้าสู่เป้าหมายคือการได้ทำงานร่วมกับพี่น้องประชาชน โดยปรารถนาพาพี่น้องและประเทศชาติพ้นจากวิกฤต จึงมีคำถามว่า ทำไมต้องเป็นพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนสูงสุด ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทย เราชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง
.
แต่เมื่อภายหลังปี 2562 พรรคเพื่อไทย ต้องกลับมามองสำรวจตัวเองภายใต้การเปลี่ยนแปลงของบริบทการเมืองอย่างมากมาย มีคนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น เราจึงต้องเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงปรับตัวเองให้ทันสมัยอยู่เสมอ พรรคเพื่อไทยจึงได้ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการ การมีส่วนร่วม ให้ความสำคัญกับการสื่อสาร รีแบรนด์พรรคและสัญลักษณ์อย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมา จึงทำให้เรามั่นใจได้ว่า พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความพร้อมสูงสุด พรรคเพื่อไทยเป็นคำตอบแห่งอนาคตที่ใช่ที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศที่ยุ่งยากซับซ้อนขณะนี้
.
แล้วเราจะชนะแลนด์สไลด์ได้อย่างไร
.
การแลนด์สไลด์ไม่ง่าย แม้เราจะมีกระแส มีความนิยมจากพี่น้องประชาชน แต่พวกเขามีกระสุน มีอำนาจรัฐ มีอำนาจเงิน มีอำนาจการจัดการเลือกตั้งให้ผลเลือกตตั้งเป็นไปดังต้องการ แต่พรรคเพื่อไทยมี 3 ยุทธศาสตร์ที่จะพาพี่น้องแลนด์สไลด์ไปด้วยกันคือ
.
1 นโยบายที่เป็นประชาธิปไตย กินได้ ทำได้จริง ทำมาแล้ว และจะทำให้ดีมากกว่าเดิม
2 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีความรู้ความสามารถ มีวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคให้เป็นจริง เป็นนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจเห็นใจพี่น้องประชาชน
3 ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เข้าถึงพื้นที่ เข้าใจพี่น้องประชาชน
.
พรรคเพื่อไทย จึงเชื่อมั่นว่าครั้งนี้จะเป็นโอกาสดีที่สุด ที่ทุกท่านจะชนะเลือกตั้ง ชนะอย่างถล่มทลาย แต่ถ้าท่านทำไม่ได้ จะเป็นความพ่ายแพ้ เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของพรรคเพื่อไทย เพราะการพ่ายแพ้ครั้งนี้หมายถึง พี่น้องประชาชนเราจะถูกครอบงำภายใต้อำนาจรัฐและอำนาจเงินตลอดไป
.
“วันนี้ พรรคเพื่อไทยพร้อม พี่น้องประชาชนพร้อม ประเทศพร้อมเดินไปข้างหน้าไปด้วยกัน พี่น้องที่เคารพครับ เราเคยคิดใหม่ทำใหม่ เราทำได้จริง ทำได้สำเร็จมาแล้ว ครั้งนี้พรรคเพื่อไทยเรา คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อพี่น้องคนไทยทุกคน” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ติดตามวิสัยทัศน์
"อุ๊งอิ๊ง"แพทองธาร ชินวัตร
“ช่วงเวลา 4 ปีจากนี้ เป็นช่วงเวลาแห่งการพลิกฟื้นประเทศ ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ เท่านั้นที่จะทำให้ประเทศไทยของเราทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ราวปาฏิหาริย์อีกครั้ง การเมืองที่มีเสถียรภาพเท่านั้นที่จะทวงคืนเวลา 1 ทศวรรษที่หายไปของเราทุกคนกลับมา”
แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวในการประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2565 ในวันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2565 พร้อมเปิด 10 นโยบายพลิกฟื้นประเทศ ปี 2570 โดยรัฐบาลเพื่อไทย
แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาตนพร้อมคณะกรรมการได้ลงพื้นที่ศึกษาและทำวิจัยพบว่า ประเทศถอยหลังไปมาก ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และไร้ที่ยืนบนเวทีโลก ประชาชนจำนวนมากมีหนี้ท่วมท้นและสะสมเป็นเวลานาน
ปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน จำเป็นต้อง ‘คิดใหญ่’ เพราะหากคิดเล็กจะรับมือปัญหามากมายขนาดนี้ไม่อยู่ และต้อง ‘ทำเป็น’ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ ยืนยันได้จากผลงานตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย จนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เราสามารถคืนความสุข ความเจริญ ความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องประชาชนได้ หัวข้อในแคมเปญรณรงค์ต่อจากนี้ จึงเปลี่ยนจาก ‘พรุ่งนี้เพื่อไทย’ เป็น ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’
แพทองธาร กล่าวว่า ภายในปี 2570 ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย หากบริหารประเทศนาน 4 ปี ที่ผ่านมา ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1.นโยบายเศรษฐกิจ หลักการบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทยคือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ยังคงถูกต้องและยึดเป็นแนวทางเสมอมาและตลอดไป จากปี 2566 จนถึงปี 2570 พรรคเพื่อไทยทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี ช่องว่างความเหลื่อมล้ำจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะพรรคเพื่อไทยจะใช้แนวคิด “รดน้ำที่ราก” เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด
รากแก้วที่สำคัญคือครอบครัว เราจะใช้ซอฟต์พาวเวอร์ ( Soft Power) เป็นพลังขับเคลื่อน โดยการดึงศักยภาพของอย่างน้อย 1 คนในทุกครอบครัว ให้ได้รับโอกาสในการอบรม บ่มเพาะ ทักษะสร้างสรรค์ที่มีความถนัดให้ดีขึ้น โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทำได้ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด จนถึงระดับประเทศ ในสถาบันอาชีวะทั้งรัฐและเอกชนกว่า 800 แห่ง เมื่อเห็นศักยภาพที่เด่นชัดจะได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาไปฝึกอบรมทักษะระดับโลกต่อในต่างประเทศ
ทักษะสร้างสรรค์ Soft Power ด้านต่างๆ เช่น เชฟทำอาหาร นักออกแบบ แฟชั่นดีไซเนอร์ นักร้อง นักแต่งเพลง คนเขียนบท ยูทูบเบอร์ นักสร้างคอนเทนท์ นักออกแบบมัลติมีเดีย นักกีฬา หรือสปาเทอราปิสต์ จะทำให้มีรายได้คนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ประเทศไทยมี 20 ล้านครอบครัว สามารถสร้างงานทักษะสูงได้ 20 ล้านตำแหน่ง และมีรายได้รวมกันถึงปีละ 4 ล้านล้านบาท และในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป
พรรคเพื่อไทยจะสร้างแนวทางหารายได้ใหม่ให้กับประชาชนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่คู่ขนานไปกับรายได้ดั้งเดิม จึงแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ เพราะพรรคเพื่อไทย ‘ไม่ใช่แค่พักหนี้’ แต่ ‘ล้างหนี้’ จนหมดสิ้น
พรรคเพื่อไทยจะเปิดโอกาสให้คนที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัว หรือวิสาหกิจชุมชนที่กำลังเติบโต สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้หลากหลายด้วยดอกเบี้ยต่ำ มีกองทุนหมู่บ้านที่ขยายบทบาทมากขึ้น กองทุนร่วมทุน และการระดมทุนแบบ crowdfunding ส่งเสริมการแข่งขันพัฒนาธุรกิจของขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ด้วยการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจทุกขั้นตอนแบบ one stop service , สร้างกติกาการแข่งขันที่เสรีและเท่าเทียม ทลายการผูกขาดในธุรกิจและอุตสาหกรรมที่กีดขวางความคิดสร้างสรรค์ของรายเล็กรายย่อย เช่น สุรา เบียร์ ไวน์ผลไม้
2. นโยบายด้านการเกษตร ในปี 2570 พรรคเพื่อไทยนำเทคโนโลยีทางการเกษตรหรือ Agritech มาใช้ เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในการเกษตร มีการปรับปรุงหน้าดิน และใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น เกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้น แต่เหนื่อยน้อยลง ใช้การตลาดนำการผลิต ไม่มีการทำการเกษตรแบบไร้เป้าหมาย สินค้าการเกษตรต้องขึ้นยกแผง มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) มาใช้ในการขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ให้ต่างชาติมาช่วยเสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง ราคาพืชผลเกษตรจึงขึ้นยกแผงทุกตัว เพราะเคยทำมาแล้ว และจะทำต่อไป
3.นโยบายด้านการท่องเที่ยว ในปี 2570 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยจำนวนมาก รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านล้านบาทต่อปี การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยได้รับความนิยมจากทั่วโลก เทศกาลของไทย 2 เทศกาลคือ สงกรานต์ในเดือนเมษายน และลอยกระทงในเดือนพฤศจิกายนเป็นเทศกาลระดับโลกที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ในปฏิทิน ประเทศไทยน่าอยู่สำหรับชาวต่างชาติและคนไทย
4.นโยบายด้านนวัตกรรม พรรคเพื่อไทยสร้างโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) ของไทยเอง ที่เป็นช่องทางในการขายสินค้าเกษตร รวมทั้งสินทรัพย์ที่เกิดจากซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนเป็นช่องทางเงินทุนให้กับนักธุรกิจรายย่อย ไม่ว่าจะเป็น Start up หรือ SME
นอกจากนั้น พรรคเพื่อไทยยังส่งเสริมงานวิจัยอย่างจริงจัง จนทำให้ในปี 2570 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมของ Asean มีการใช้เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง ( CBDC : Central Bank Digital Currency) แทนเงินสด ป้องกันการคอร์รัปชันในการเมืองแบบ ‘ลิงกินกล้วย’ ทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดี ประชาชนทุกคนมีบัญชีธนาคาร และมีกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) ของตนเอง
รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ การเข้าถึงบริการของรัฐทำได้ง่าย สะดวก ทุกหมู่บ้านของประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สถานที่สาธารณะทุกแห่งมี wifi ฟรี
5.นโยบายด้านสาธารณสุข ในปี 2570 หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคถูกอัพเกรด หรือยกระดับขึ้น สามารถรักษาได้ทั่วประเทศ ประชาชนสามารถใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รับการรักษาได้ทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะข้อมูลสุขภาพถูกเชื่อมไว้บนศูนย์ข้อมูล หรือ Cloud เมื่อเจ็บป่วย ผู้ป่วยเพียงยื่นบัตรประชาชนแล้วอนุญาตให้แพทย์ผู้รักษาเข้าถึงข้อมูลการรักษาได้
ในปี 2570 ผู้ป่วยโรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรคทางกายอื่นๆ ที่ต้องการขอคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางได้รับการรักษาที่ศูนย์สาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล เพราะแพทย์เฉพาะทางให้คำปรึกษาผ่านระบบทางไกลหรือ Telemedicine ได้ การนัดคิวตรวจเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลทุกแห่ง ผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้ามืด ผู้ป่วยที่ต้องเจาะเลือดตรวจโรค ก็สามารถทำได้ที่คลินิกหรือศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน
ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต ได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาลทั้งที่บ้านและที่ศูนย์ชีวาภิบาล (Hospice) ของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานยังสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติ ไม่ต้องลางาน
การสาธารณสุขเชิงรุก เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีในเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี และฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV : Human Papilloma Virus) อีกทั้งยังตรวจและรักษาไวรัสตับอักเสบ-ซี ซึ่งโรคดังกล่าวจะเป็นการป้องกันมะเร็งตับที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมะเร็งในผู้ชาย
ปี 2570 โรงพยาบาลของรัฐถูกกระจายอำนาจในรูปแบบองค์การมหาชนที่ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารโรงพยาบาล มีการจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ตามปริมาณงาน และเกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ให้ทันสมัยในทุกระดับตั้งแต่ตำบลถึงมหานคร รวมทั้งมีการฝึก อ.ส.ม. ให้เป็นพยาบาลรัดับต้น ประจำทุกหมู่บ้าน ส่วนในกรุงเทพมหานคร มีโรงพยาบาลประจำเขตทั้ง 50 เขต
6. นโยบายด้านการศึกษา ในปี 2570 มีการกระจายอำนาจการศึกษาเหมือนในประเทศที่เจริญแล้ว มีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น ซึ่งสอนภาษาต่างประเทศเช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตั้งแต่ ป.1 มีการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและออนไลน์ โดยใช้ครูต่างประเทศมาสอนเสริมร่วมกับครูไทย มีศูนย์การเรียนรู้แบบ TCDC และ TK Park ที่เริ่มต้นสมัยไทยรักไทย ให้ครบทุกจังหวัด
7.นโยบายด้านยาเสพติด พรรคเพื่อไทยมาแล้ว ยาเสพติดต้องหมดไป ‘ยาเสพติดกับเพื่อไทยอยู่ร่วมกันไม่ได้’ จะปราบปรามยาเสพติดเต็มรูปแบบ เด็กไทยตกเป็นทาสยาเสพติด ทำร้ายคนในครอบครัวและผู้อื่นอีกมากมาย และจะบำบัดผู้เสพอย่างทั่วถึงควบคู่กันไปกับการปราบปราม
8.นโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง จะถูกแก้ไขทั้งระบบทั่วประเทศ มีการสร้างคลองน้ำเพื่อเชื่อมแม่น้ำหลักเข้าหากัน และมีอ่างเก็บน้ำเป็นแก้มลิงตามเส้นทางน้ำสายหลัก เพื่อให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพ มีการสำรวจสิ่งก่อสร้างที่ขวางทางน้ำไหล โดยเฉพาะถนน แล้วเปิดทางเพื่อให้น้ำไหลลงแม่น้ำสายหลักตามหลักแรงโน้มถ่วงโลก ดังที่เคยทำในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งทำให้น้ำไม่ท่วมมา 20 ปีแล้ว รวมถึงทำทางน้ำหลาก หรือฟลัดเวย์และทางผันน้ำ เพื่อระบายน้ำลงทะเลให้เร็วขึ้นทั้งสองฝั่งเจ้าพระยา
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยป้องกันน้ำทะเลหนุนไม่ให้ท่วมกรุงเทพฯ ด้วยการถมทะเลด้านบางขุนเทียนจนถึงสมุทรปราการ สมุทรสาคร และเกิดแผ่นดินงอกจำนวนมาก ซึ่งนอกจากป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้แล้ว ยังลดความแออัดของกรุงเทพฯ ที่สำคัญคือ ยังสามารถเอาที่ดินงอกนี้ มาทำเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมดึงดูดรายได้จากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย
9.นโยบายด้านการคมนาคมและขนส่งมวลชน ในปี 2570 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค มีการลงทุนในระบบรางครั้งใหญ่ สร้างรถไฟรางคู่ในทุกเส้นทาง ทำให้รถไฟวิ่งได้ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากที่เคยใช้เวลา 10 ชั่วโมงเหลือเพียง 5 ชั่วโมงเท่านั้น เส้นทางรถไฟสายใหม่ถูกสร้างขึ้นไปถึงจุดหมายสำคัญ เช่น เชียงราย เชียงของ มุกดาหาร นครพนม ภูเก็ต ส่วนรถไฟความเร็วสูงสร้างจากจีนลงมาถึงไทยแล้วต่อยาวไปถึงสิงคโปร์ เกิดขึ้นแน่นอน
รถไฟฟ้าสายต่างๆในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลถูกจัดระเบียบใหม่ เพื่อใช้ระบบตั๋วร่วม 20 บาทตลอดสายได้ก่อนปี 2570 แน่นอน สนามบินสุวรรณภูมิ จะขยายพื้นที่รองรับผู้โดยสารมากขึ้นจาก 45 ล้านคน เป็น 100 ล้านคน
10.นโยบายด้านพลังงาน โครงสร้างราคาพลังงาน ถูกปรับรื้อตั้งแต่ปี 2566 ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟ ลดลงทันที จะรณรงค์และส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน ทำให้ลดการพึ่งพาน้ำมันลง
แพทองธาร ยังกล่าวด้วยว่า ในปี 2570 กติการัฐธรรมนูญจะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ นายกรัฐมนตรีถูกเลือกในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากประชาชน มีการกระจายอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากส่วนกลางออกไปส่วนท้องถิ่นมากขึ้น การใช้จ่ายงบประมาณจากภาษีประชาชนถูกควบคุมด้วยระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชั้นสูง เพื่อตามเม็ดเงินที่ถูกเบียดบังไป จนมั่นใจได้ว่า เงินภาษีของประชาชนได้ย้อนกลับไปสร้างความเจริญและความสุขให้กับประชาชนทุกบาททุกสตางค์ และมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่มีความพร้อม
ในปี 2570 พรรคเพื่อไทยรับใช้ประชาชน ด้วยการทำให้นโยบายทั้งหมดเป็นจริง ไม่มีการย้ายประเทศ มาพร้อมใจกันเปลี่ยนผู้นำง่ายกว่า ช่วงเวลา 4 ปีจากนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการพลิกฟื้นประเทศให้กลับมามีเกียรติ มีศักดิ์ศรีอีกครั้ง การเมืองที่มีเสถียรภาพเท่านั้นที่จะทวงคืนเวลา 1 ทศวรรษที่หายไปของเราทุกคนกลับมา
“มาร่วมกัน ‘คิดใหญ่’ และ ‘ทำให้เป็นจริง’ ด้วยการเลือกพรรคเพื่อไทย ทั้งคน ทั้งพรรค เพื่อคนไทยทุกคน เรามากำหนดอนาคตของเรา ในวันเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงค่ะ”
Comentários