บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป โชว์ผลประกอบการปี 2564 ยังคงแข็งแกร่ง มีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 42,093 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 10,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปี 2563 ปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการลงทุน 2 โครงการใหม่ในสหรัฐอเมริกา บอร์ดไฟเขียวนำเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาปันผลครึ่งปีหลัง3.25บาท/หุ้นตอกย้ำนโยบายรักษาการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ แม้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 และความท้าทายของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่เอ็กโกกรุ๊ป เปิดเผยว่า “ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ย้ำนโยบายรักษาการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 15 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2565 หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 19 เมษายน 2565 เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ หากรวมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 3.25 บาท จะเป็นการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานสำหรับงวดบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2564 รวมหุ้นละ 6.50 บาท”
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 เอ็กโก กรุ๊ป สามารถรักษาระดับการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี การด้อยค่าของสินทรัพย์ การวัดมูลค่าเครื่องมือทางการเงิน และการรับรู้รายได้แบบสัญญาเช่า) จำนวน 10,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,480 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17% เมื่อเทียบกับปี 2563 ในขณะที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 4,104 ล้านบาท ลดลง 4,629 ล้านบาท หรือคิดเป็น 53% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีผลกระทบหลักจากการแปลงมูลค่าหนี้สินสกุลเงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินบาทซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทและจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรม (Fair value) ของเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งทั้ง 2 รายการเป็นการรับรู้ ผลกระทบตัวเลขทางบัญชีเท่านั้น ไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและการดำเนินงาน
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19ระลอกใหม่ความผันผวนทางเศรษฐกิจจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ต่อเนื่องจากปี 2563 และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ได้แก่ โรงไฟฟ้าไซยะบุรี โรงไฟฟ้าซานบัวนาเวนทูรา โรงไฟฟ้าเคซอน และ จากอัตราค่าไฟฟ้าและไอน้ำต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าสตาร์ เอนเนอร์ยี่ โรงไฟฟ้าซาลักและโรงไฟฟ้าดาราจัท รวมทั้งยังรับรู้กำไรจากโครงการใหม่ในสหรัฐอเมริกา 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าลินเดน โคเจน และเอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง
ในปี2564เอ็กโกกรุ๊ปมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่หลากหลายโดยเฉพาะการเน้นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและการต่อยอดพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ โดยมีความสำเร็จสำคัญ คือ การขยายการลงทุนในสหรัฐอเมริกา 2 โครงการ ได้แก่ การซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ “ลินเดน โคเจน” และการซื้อหุ้นใน “เอเพ็กซ์ คลีน เอ็นเนอร์ยี โฮลดิ้ง” ที่เป็นผู้นำการพัฒนา การขาย และการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โครงการพลังงานสะอาดในสหรัฐอเมริกา การลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพ “เพียร์ พาวเวอร์” เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มบล็อกเชนซื้อขายพลังงาน ตลอดจนการได้รับใบอนุญาตเป็น“ผู้จัดหาและนำเข้าแอลเอ็นจี” เพื่อบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าในกลุ่มเอ็กโกอย่างมีประสิทธิภาพ
เอ็กโก กรุ๊ป ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ด้วยการพัฒนา “โครงการนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง” เพื่อรองรับการลงทุนของ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)ในขณะเดียวกันยังได้ต่อยอดพัฒนานวัตกรรมทางธุรกิจ โดยร่วมกับ กฟผ. และราช กรุ๊ป จดทะเบียนจัดตั้ง “อินโนพาวเวอร์” เพื่อยกระดับงานวิจัยนวัตกรรมสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์ และการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเทคโนโลยี Solid Oxide Fuel Cell (SOFC) กับ กฟผ. Bloom Energy และ ATE เพื่อพัฒนาการใช้ไฮโดรเจนมาผลิตไฟฟ้า ที่จะช่วยสนับสนุนการลดคาร์บอนไดออกไซด์ของประเทศไทยและการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไฮโดรเจน เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Neutral) ให้สำเร็จ
“ในปี 2565 เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งต่อยอดความสำเร็จในธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ในขณะเดียวกัน ได้เร่งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution นอกจากนี้ เอ็กโก กรุ๊ป ยังมีพันธกิจในการเป็นพลเมืองที่ดีของชุมชนและสังคมและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมพลังงาน ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน” นายเทพรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
EGCO Group shows continuous growth with 2021 operating profit reaching 10,218 million baht
Green light to pay dividend for the second half of the year
at 3.25 baht / share
Electricity Generating Public Company Limited or EGCO Group showed a strong operating performance in 2021 generating total revenue from operations worth 42,093 million baht, with operating profit of 10,218 million baht, up 17% comparing to 2020. The major supporting factors are from higher sales volume of electricity and investment in two new projects in the United States. The Board of Directors has given the green light to pay dividend of 3.25 baht/share for the second half of the year, reinforcing the policy to maintain the dividend payment rate for shareholders and pay dividend on a regular basis despite the ongoing Covid-19 situation and the challenging circumstance of energy transition.
Mr. Thepparat Theppitak, EGCO Group’s President, disclosed that “the Board of Directors Meeting on 28 February 2022 reiterated the policy to maintain the dividend payment rate for shareholders and pay dividend on a regular basis. The board resolved to propose to the 2022 shareholders’ annual general meeting to pay dividends from the operating results of 2H/2021 at the rate of 3.25 baht per share. The record date for the right to receive the dividends is scheduled on 15 March 2022 and the dividend payment is set to be made on 27 April 2022 after receiving approval from the 2022 shareholders’ annual general meeting which will be held on 19 April 2022. If the interim dividend payment at the rate of 3.25 baht per share for the 1H/2021 operating results is included, it would be the dividend payment from the operating results for the accounting period from 1 January - 31 December 2021, totaling 6.50 baht per share.”
In 2021, EGCO Group was able to maintain growth rate with operating profit (excluding the effects of foreign exchange rate, deferred income tax, asset impairment, measurement of financial instruments, and lease income) of 10,218 million baht, an increase of 1,480 million baht, or 17% compared to 2020. Meanwhile, a net profit of 4,104 million baht decreased 4,629 million baht, or down 53% compared to the previous year. It is mainly due to the impact of the conversion of foreign currency liabilities into Thai Baht as a result of Thai Baht depreciation, and the changes in the fair value of financial instruments. However, they are just the recognition of unrealized accounting effect, which does not affect cash flow and operations.
Amidst the new wave of the COVID-19 pandemic, the ongoing economic volatility from the impact of the COVID-19 situation since 2020, and the energy transition, EGCO Group could still maintain its continuous growth, with major supporting factors driven by higher sales of large-scale power plants in foreign countries such as Xayaburi Power Plant, San Buenaventura Power Plant, and Quezon Power Plant. The higher rates of electricity and steam per unit of Star Energy, Salak and Darajat Power Plants. The company also recognized operating profits resulting from the successful acquisition of two new projects in the United States including Linden Cogen Power Plant andApex Clean Energy Holdings.
In 2021, EGCO Group had invested in various new businesses particularly in clean energy technology and further enhancement of business innovations. Significant achievements include two investment projects in the United States which include the acquisition of shares in “Linden Cogen” natural gas-fired power plant, as well as in Apex Clean Energy Holdings, a leader in clean energy project development, sales and commercial operations in the United States; investment in “Peer Power” startup to develop energy-trading platform using blockchain technology; as well as obtaining a license to be a “supplier and importer of LNG” to effectively manage fuel costs of EGCO Group’s power plants.
In addition, the company never stops looking for new investment opportunities by developing “EGCO Rayong Industrial Estate Project” to support the investment of 4 targeted industries, S-Curve, and New S-Curve which have received investment support from the Eastern Economic Corridor (EEC) development project. Meanwhile, the company has also advanced business innovations by joining forces with the Electricity Generating Authority of Thailand (EGAT) and RATCH Group to establish “INNOPOWER Co.,Ltd” with the aim to drive innovative researches towards commercialization. It has also signed a Memorandum of Understanding (MoU) on electricity generation from Solid Oxide Fuel Cell (SOFC) technology with EGAT, Bloom Energy, and ATE to develop the use of hydrogen for power generation which would reduce carbon dioxide emission and ensure smooth transition to hydrogen use in order to achieve the carbon neutral goal.
“In 2022, EGCO Group aims to build its success on the power business, especially the power generation from renewable energy and clean energy as to drive business towards low-carbon society. Meanwhile, it will accelerate investment expansion into energy-related businesses, both fuel and infrastructure business, as well as Smart Energy Solution business. Furthermore, EGCO Group also has a mission to be a good corporate citizen for the community and society who takes good care of the environment and creates stable and sustainable growth despite of the transition of the energy industry, along with adding business value for all stakeholders,” Mr.Thepparat concluded.
Comments