การเมือง
การเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 ได้ "เฉลิมชัย ศรีอ่อน"อดีตสส.หลายสมัย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาเป็นหัวหน้าพรรคคนที่ 9 ซึ่งจะเป็นความบังเอิญ หรือมีการวางแผนไว้ล่วงหน้านั้นก็ยากจะคาดเดาได้ เมื่อเลข 9 มาบรรจบกันในวันเดียว!!!พอดิบพอดี
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ความพยายามเลือกหัวหนาพรรคประชาธิปัตย์ เกิดขึ้น 2 ครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จองค์ประชุมไม่ครบ จะด้วยเกมการเมือง หรือเป็นเหตุธรรมชาติก็ยากจะเดาเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่หนึ่ง ที่เป็นข้อเท็จจริงไม่อาจปฏิเสธได้คือ มีการช่วงชิงอำนาจการบริหารพรรคระหว่างกลุ่มใหม่ที่มีนายเฉลิมชัยเป็นแม่ทัพ กับกลุ่มเก่า ที่มีนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค ให้การสนับนุน ในอดีตเขาเคยกำหนดตัวบุคคล และผลักดันเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคมาแล้ว ตั้งแต่หัวหน้าพรรคคนที่ 6 (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน)คนที่ 7 (นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ)และคนที่ 8 (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์) แต่เมื่อถึงคนที่ 9 นั้น บุคคลที่ถูกคาดหมายรับตำแหน่งดังกล่าว ไม่เป็นที่ต้องใจของนายชวน หลีกภัย เพราะเขามีความเชื่อว่า จะนำพรรคไปหาประโยชน์ทางใดทางหนึ่ง นั้นคือความเชื่อจากบทสัมภาษณ์ฉบับไม่อ้อมค้อม
จึงมีความพยายามทั้งผลักดันคนเก่าที่เคยเป็นอดีตหัวหน้าพรรคมาก่อน และชูเลือดใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกแม้พรรษายังน้อยในระดับสามเณรแต่ดันสู่ตำแหน่งสมภารวัด จะคนเก่า หรือคนใหม่ดูเหมือนว่า ความเข้มขลังของนายชวน หลีกภัยวันนี้นั้น ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว จนไปไม่ถึงฝั่งฝัน
กรณีของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะนั้น ในวันประชุมนายชวน ลุกขึ้นเสนอชื่อด้วยตัวเอง โดยเกริ่นขอเวลาที่ประชุมเพียงเล็กน้อยในการบอกเล่าเรื่องราวคุณงามความดีประกอบการเสนอ แต่ฟังๆไปยาวเกินกว่า 15 นาที เพื่อโอ้โลมโน้มน้าวให้ที่ประชุมวันที่9 ธันวาคมคล้อยตาม แต่รอบนี้ดูจะไม่เป็นผล และหลายคนวิเคราะห์ว่า อดีตสส.17สมัยจังหวัดตรัง อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ กล้าออกตัวแรงขนาดนี้ ยังไม่ศักดิ์สิทธิอีกหรือ???เกิดอะไรขึ้น(ชมคลิป)
และเมื่อพลาดในการชูคนเก่าที่เขาเชื่อว่า ต้นทุนทางสังคมสูง ไม่ประสบผล เพราะ"มหาบัณฑิตมาร์ค"จากออกฟอร์ดย่อมประเมินไม่ยากว่า ลงไปก็แพ้ หนุ่มบ้านนอกเสียงเหน่อที่ชื่อ "เฉลิมชัย" หรือ สส.ในกลุ่มเรียกติดปาก "พี่ต่อ ใจถึง-พึ่งได้" จึงขอถอนตัวไม่แข่ง เพราะใครแพ้-ชนะล้วนมีข้อเสียตามมามากน้อยต่างกัน
นายชวนจึงหันไปสนับสนุนการยกเว้นข้อบังคับพรรคข้อ31(6)เพื่อเปิดทางให้สาวน้อย ภรรยาเจ้าพ่อสื่อรายใหม่"ฉาย บุนนาค" ที่มีทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสื่ออนไลน์ครบมือ ซึ่งนายชวนประเมินว่า ด้วยศักยภาพระดับนี้จึงจะรับมือกับทุนบางอย่างได้ เขาสนับสุน "เดียร์-วทันยา บุนนาค"อดีตสส.พลังประชารัฐ 1 สมัย และย้ายไปอยู่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ถึง 5 ปี (ฟังอีกครั้งยังไม่ถึง 5 ปี) เพื่อให้มีสิทธิชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค
หลายคนติดตาม และฟังตำนานพรรคประชาธิปัตย์มาก่อนจะรับรู้ข้อมูลว่า พรรคนี้ไม่ใช่พรรคตระกูล พรรคจังหวัด หรือพรรคครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง เหมือนบางพรรคในประเทศไทย บุคลากรในพรรคจะเติบโตได้ต้องไต่เต้าตามขั้นตอน และมีอาวุโส เหมือนกับนายชวน หลีกภัย จาก สส.บ้านนอกที่มีอุดมการณ์ และกล้าประกาศว่า "ไม่เคยใช้เงินซื้อเสียงแลกมาแม้แต่ครั้งเดียว" ซึ่งน่านับถือและเป็นต้นแบบที่ดีของนักการเมืองไทยที่ไม่ควรซื้อเสียง เพราะปกติคนซื้อเสียงไม่กล้าประกาศ หรือมองหน้ายังต้องหลบสายตา เพราะอาย ซึ่งเขารู้ว่า นักการเมืองส่วนใหญ่ในสภาซื้อเสียงกันมาทั้งสิ้น ดังนั้น ในคราวพรรคก้าวไกลนายชวนกล้าประกาศเสียงดัง ฟังชัดว่า "น่าชื่นชม เป็นพรรคเดียว ที่ไม่ใช้เงินซื้อเสียงแต่ชนะมากขนาดนี้"
ดังนั้น ท่าทีการออกมาสนับสนุนการขอยกเว้นข้อบังคับพรรค เพื่อเปิดโอกาสใครคนใดคนหนึ่ง ย่อมผิดหลักการ แต่ถามว่า ทำไม? นายชวน หลีกภัย ถึงกล้าสนับสนุน หรือเกมวันนั้น เป็นสถานการณ์ที่บีบให้นายชวน ผู้ยึดหลักการต้องเปลี่ยนไป เพราะเสมือนการต้านพายุต้องใช้ทุกวิธีการเพื่อให้เอาชีวิตรอด หรือนำองค์กรรอดเช่นนั้นหรือ?
แต่ลืมนึกไปว่า หากวันข้างหน้า มีการขอยกเว้นข้อบังคับกันไปเรื่อยๆ แล้วหลักการพรรคจะอยู่จุดไหน?หรือหลักการเป็นเพียงข้ออ้าง แต่การสมประโยชน์เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ?
แต่แม้ผู้มีบารดีของพรรคในอดีตจะออกตัวสนับสนุนแรงเพียงใด แต่ผลของที่ประชุมที่อาศัยเสียง3 ใน4 ก็ไม่อนุญาตให้ยกเว้นข้อบังคับ
ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ในการรักษาพรรคประชาธิปัตย์ในระยะยาว!!!!(ชมคลิป)
ตามที่กล่าวมาจะเห็นว่า คำพูดของนายชวนวันนี้ กับวันก่อนไม่เข้มขลังเหมือนเดิมอีกต่อไป รวมทั้งวาทกรรมที่มักใช้บ่อย ๆ อาทิ
-รัฐบาลโกง
-รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง
ก็เป็นวาทกรรมที่ไม่เข้มขลัง เหมือนเดิมเช่นเดียวกัน!!!
เพราะเป็นการมององค์ประกอบในบางครั้งไม่ครบถ้วน เลือกมอง เลือกหลบ ผิดกับหลักวิทยาศาสตร์ หรือหลักสถิติ ที่เปรียบเสมือนกล้องวงจรปิด ไม่เข้าข้างใครได้ เป็นตัวที่สะท้อนเหตุการณ์จริง ยิ่งกว่าคำพูดคน เพราะทั้งเรื่อง!!
-รัฐบาลโกง คำถาม มีรัฐบาลใดบ้างที่ไม่ถูกล่าวหาด้วยวาทกรรมนี้ทั้งที่มาจากการปฏิวัติ และหรือการเลือกตั้ง แต่เป็นหน้าที่ของคนเกี่ยวข้องและถือกม. ต้องนำคนผิดมาลงโทษให้ได้
-รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง คำถามคือ ปราบได้หรือไม่ หรือสถิติการโกง ลดลงมากน้อยเพียงใดหลังจากการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
เพราะทั้ง 2 วาทกรรม หากใช้ไปมาก ๆ แต่ย้อนแย้งกับความเป็นจริงในสังคม จะกลายเป็นโอษฐภัยต่อผู้ใช้!!!
ทั้งหมดทั้งมวล คือ ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ขอเพียงไม่ตะแบง วันนี้เหตุการณ์หลายอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!!!สำหรับชวน หลีกภัย ผู้เคยมีบารมีล้น!เสมือนจิตวิญญาณของสมาชิกประชาธิปัตย์ เพราะประชาธิปัตย์วันนี้ กับประชาธิปัตย์เมื่อวาน ได้เปลี่ยนไปคนละสมการ!!!
CLOSE-UP THAILAND
(ฟังเครื่องเคียงประกอบเรื่อง)
SWOTประชาธิปัตย์เวอร์ชั่น!!"อภิสิทธิ เวชชาชีวะ" อดีตหน.พรรค/อดีตนายกรัฐมนตรี-ฟังจบรู้แจ่มแจ้ง!!!
Komentarze